ทฤษฎีพฤติกรรมราคา การสร้างอาวุธของตัวเอง 3
จากบทความของการใช้ Equidistance ทำให้เกิดสมมุติฐานของการใช้งานเครื่องมือว่าการใช้งาน Equidistance นั้นเป็นอย่างไรใช้ได้อย่างไร สมมุติฐานว่า ทำไม Equidistance ถึงใช้งานได้ มาจาก 1. อารมณ์ตลาดนั้นมีอยู่จริง 2 ทิศทางของตลาดนั้นกำหนดมาจากคนกลุ่มเดียว 3. แยกเหตุการณ์ร้ายออกจากทิศทาง และเมื่อวานเราได้นำเสนออารมณ์ตลาดที่บอกว่ามีอยู่จริง ความเชื่อมั่นของตลาดนั้นเป็นอย่างไร? ในบทความบทเดียว วันนี้ เราจะพิสูจน์ถึงทิศทางของตลาดนั้นกำหนดมาจากคนกลุ่มเดียว หมายความว่าอย่างไร?
ทิศทางตลาดจะมาจากคนกลุ่มเดียวได้อย่างไร?
ทิศทางของตลาดนั้นเดิมที่กล่าวอยู่ในทฤษฎีราคาก่อนหน้า ว่า การขึ้นของราคานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? การขึ้นของราคานั้นเกิดขึ้นได้รูปแบบ 2 อย่างคือ 1. การขึ้นของราคาที่มีความตั้งใจ 2. การขึ้นของราคาที่ไม่ได้มีความตั้งใจ เราจะว่ากันไปทีละตัวอย่าง
- การขึ้นของราคาที่มีความตั้งใจ
หมายความว่ายังไง ตั้งใจ?? มันคือ การที่ราคาขึ้นจากการตั้งใจของใครสักคน เพราะเห็นโอกาสเหมาะแล้ว เศรษฐกิจโลกดี ผู้คนให้ความเชื่อมั่น รายย่อยมีกำลังซื้อ ตอนนี้ราคาต้องขึ้น ต้องมีข่าวของการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทน และราคาขึ้นรับกับข่าว นี่แหละคือปัจจัยที่รอคอย เพราะว่า มันไม่เป็นที่เพ่งเล็งของ คณะกรรมการตรวจสอบ ในบ้านเราเรียกว่า กลต. หรือคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ ล่าสุดก็พึ่งจะสอย ตระกูลปราสาททองโอสถ มาหมาด ๆ จริง ๆ แล้วใครก็ทำทั้งนั้นแหละเรื่องแบบนี้ ก็เขาก็อยากรวย อยากมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทั้งนั้น ดังนั้นการเล่นในตลาดที่มีกฏเกณฑ์เยอะ จึงไม่ค่อยน่าสนใจ เรียกว่า กรรมการกำกับตลาดออกกฏบ้าบอคอแตก จนทำให้คนกลุ่มที่ 1 เขาอยู่ไม่ได้เขาก็จะไม่อยู่ เขาก็จะไปอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่กฏยังไม่เคร่งนัก นักลงทุนรายย่อยยังไม่ค่อยรู้จักเล่ห์เหลี่ยมของการลงทุนมากนัก เพราะว่า หมูมันหาง่าย มันก็เหมือนกับสิงโตที่ย้ายถิ่นไปล่าในทุ่งหญ้าที่มีแต่สัตว์กินพืชแต่ไม่มีนักล่านั่นแหละ พวกมันไม่ชินกับการมีนักล่า มันเลยไม่กลัว พอมันกลัวก็ล่ายากขึ้น เหมือนกันเด๊ะ แต่ถ้าไปออกกฏมาก ไอ้พวกนี้ก็หนีไปเรื่อย ๆ ตลาดโลกมันกว้าง มีประเทศยากจนที่เพิ่งจะเปิดตลาดหุ้น ตลาดลงทุนเยอะแยะ แต่อย่าคิดว่าตลาด Forex ไม่มีเจ้ามือนะครับ ก็มีทั้งนั้นแหละ เจ้ามือก็คนที่ถือครองเงินมากที่สุดยังไงหล่ะ หรือว่าจะบอกว่า เงินไม่มีคนถือครองมากที่สุดหรอ? มันไม่ใช่ความจริง!!! เพราะหลักการส่วนแบ่งนี้ มันจะมีคนถือครองมากที่สุดเพียง 1 กลุ่ม แม้ว่ามันจะเป็นเบี้ยหัวแตกแค่ 1 % แต่ก็จะเยอะกว่า คนอื่น ๆ ที่ถือคนละ 0.8 %อยู่ดี อำนาจชี้นำตลาดก็จะต่ำ
แล้วอำนาจชี้นำตลาดคืออะไร? อำนาจชี้นำตลาดก็คือ ถ้าเรามีแค่ 1 % หมายความว่าเราถือต้นทุนต่ำอยู่ 1 % เราเก็บต้นทุนสูงเพื่อกระชากราคาขึ้นไปก็ได้แค่ อีกไม่เกิน 1 % เพราะว่า ถ้าเก็บเกินกว่า 1 %จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของเราสูงขึ้น ทางที่ดีก็ควรจะต้องมีพอประมาณ เช่น 20 – 30 % เพราะว่ามันจะป้องกันคนหมู่มากระดมเทของให้คุณด้วยนั่นเอง เพราะเราถือสัดส่วนมากอยู่ ลองดูภาพต่อไปนี้
รูปที่ 1 สัดส่วนผู้ถือหุ้น GEL
ที่มา SET.OR.TH
จากรูปข้างบนจะเห็นว่า หุ้นมันจะแตก ๆ หน่อยก็คือ มันไม่ได้ถือ 20 – 30 % อย่างที่ผมกล่าวนั่นแหละครับ การชี้นำราคาจึงเกิดขึ้นไม่ได้ในบางกลุ่ม เพราะหุ้นอยู่ในกลุ่มหลายคนเกินไปทำให้การตกลงระหว่างกันทำได้ยาก บางคนก็อาจจะไม่โอเคกับผลประโยชน์หรือไม่เชื่อใจกัน กลุ่มที่มีหุ้นอยู่ในมือคนเดียวจึงทำได้ง่ายกว่า
รูปที่ 2 แสดงสัดส่วนการถือหุ้น BA
ที่มา SET.OR.TH
จะเห็นว่า 4 ลำดับแรก นามสกุลเดียวกันหมด มีโอกาสว่าเขาจะตกลงกันได้ง่ายกว่าคนนอก เพราะว่าอย่างไรก็ญาติกัน ลองรวมสัดส่วนของคนที่เยอะ 4 อันดับแรกก็ได้ครับ ก็จะเห็นว่ามีสัดส่วนเยอะ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าทั้ง 2 ภาพกำลังทำทุจริตในตลาดหรือไม่นะครับ เพราะว่า ไม่ว่ากองทุนหรืออะไรก็ตามก็ต้องใช้กลยุทธ์เหล่านี้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าใครจะซวยโดนตำรวจในตลาดจับก็เท่านั้น ไม่เชื่อลองหาจังหวัดที่ไม่มีคนปล่อยเงินกู้นอกระบบมาให้ดูหน่อย เค้าก็ปล่อยกันทุกจังหวัดนั่นแหละ แต่ว่าตำรวจไม่ได้จับเท่านั้นแหละครับ หรือ!!! ถ้าหากว่า ตลาดออกกฏเคร่งครัดเกินไปนักลงทุนรายใหญ่ ๆ ก็ย้ายตลาดครับ ไปนู่นเลย ตลาดที่ไม่มีกฏ ไม่มีหรือ???? มีสิ Cryptocurrency เป็นตัวอย่างที่ดีอันนึง ถ้า Broker ปิดพวกรายย่อยก็เจ๊งละไม่รู้จะไปเรียกร้องกับใคร เจ้ามือเขาก็รู้เรื่องพวกนี้ดี ฉะนั้น กฏของตลาดมีมากก็ไม่ดีเพราะทำให้กลุ่ม 1 อยู่ลำบาก ไม่มีเลยก็ไม่ดี เพราะไอ้พวก กลุ่ม 5 – 6 ก็กลัวพวก 1-2-3 จนไม่กล้าเข้ามาลงทุน
ส่วนข้อ 2 ก็ขอยกยอดเอาไว้เขียนตอนบ่ายพร้อมตัวอย่างก็แล้วกันครับเพราะว่าก็ค่อนข้างยาวเหมือนกันว่า ไอ้การที่ราคาขึ้น ไม่ได้ตั้งใจเนี่ยมันเกิดขึ้นได้ยังไง
Keywords การขึ้นของราคา สัดส่วนการถือครองในตลาด ราคา Forex
ทีมงาน .com
