คู่มือ การเป็น Full Time Trader ฉบับสมบูรณ์

รูป Feature image

คู่มือการเป็น Full Time Trader ฉบับสมบูรณ์

Full Time Trader อาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลในระยะเวลาไม่นาน สามารถเสกเงินจากอากาศเพียงแค่จิ้ม Buy / Sell อาชีพในฝันของใครหลาย ๆ คน แต่ !!! เส้นทางการเป็น Full Time Trader เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ต้องเริ่มจากตรงไหนล่ะ?? เรามาดูกันครับ

ความรู้พื้นฐานที่จำเป็น

ต้องบอกแบบนี้ครับว่า ไม่ว่าจะสายอาชีพใดก็ความหมั่นหาความรู้เอาไว้เสมอครับ เฉพาะอย่างยิ่งอาชีพเทรดเดอร์อย่างเรา ๆ ครับ เพราะความรู้เหล่านี้มักจะเปลี่ยนแปลงไปเสมอและมันมักจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ หากเราหยุดที่จะเรียนรู้อาจจะถูกทิ้งไว้ด้านหลังครับ

ก่อนที่ผมจะพาคุณเข้าสู่ “หนทาง” การเป็น Full time trader ผมจะอธิบายเกี่ยวกับ “ขั้นตอนการเรียนรู้และการพัฒนาการเทรด” ที่ผมได้ประยุกต์เอาจากทฤษฎี Learning Curve [1] เอาไว้เพื่อให้คุณประเมินตนเองและทำให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น Learning Curve นี้จะประกอบไปด้วย 7 States ดังนี้ครับ

  • State 1 ยังไม่รู้อะไรเลย แต่มันดูน่าสนุกดีนะ ไม่น่าจะยากเท่าไหร่
    • State นี้จะเป็นช่วงแรกสุดที่เราเริ่มเข้าวงการ Forex ครับ ในขั้นนี้คุณจะรู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเทรด หรือ forex เลย แต่มันดูไม่ยากและน่าสนุกดีนะ คนอื่นทำได้ ข้าก็ต้องทำได้สิ
    • สิ่งสำคัญของคนที่อยู่ในขั้นนี้ คือ การศึกษาหาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด forex ให้มาก ๆ ก่อนที่จะลงมือเทรดจริง
  • State 2 ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว (แต่จริง ๆ ยังไม่รู้อะไรเลย)
    • ในขั้นที่ 2 นี้คุณจะรู้สึกว่าตอนนี้คุณได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรด forex มาอย่างดีแล้ว และเข้าใจว่าตอนนี้ ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรยากตรงไหนเลย
    • จากนั้น คุณจะเริ่มสมัครเปิดบัญชี และเริ่มเทรด ซึ่งจะพบว่า อ้าว!! ทำไมขาดทุนยับแบบนี้ล่ะ ไม่เห็นเหมือนในตำราเลย
  • State 3 มันต้องมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้แน่ ๆ
    • หากคุณผ่านจุดนั้นมาแล้ว คุณก็เริ่มกลับมาคิดใหม่อีกทีแล้วครับว่า ข้าอาจจะพลาดข้อมูลอะไรไป หรือ ต้องมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้แน่ ๆ
    • ดังนั้น ในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่คุณ “กลับมาศึกษาทุกอย่างใหม่ทั้งหมดและศึกษามันเป็นลงลึกกว่าเดิม”
  • State 4 ตายล่ะหว่า ข้ายังไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ
    • ขั้นตอนนี้คุณจะเริ่มเข้าใจแล้วครับว่า ที่ผ่านมาเรามันอ่อนต่อโลก และยังไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ ซึ่งการยอมรับแบบแหละครับ จะทำให้คุณเก่งขึ้น (คุณมาถูกทางแล้ว!!)
  • State 5 ทำไมการเทรดมันยากแบบนี้ !!!
    • เมื่อคุณได้ลองทำมันจริง ๆ จัง ๆ คุณจะรู้สึกว่า “ทำไมการเทรดมันยากจังว้า”
    • คุณไม่ต้องกังวลอะไรไปนะครับ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่คุณกำลังเติบโต เหมือนนักเพาะกายที่ต้องเข้ายิมไปยกเวทและทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บทุกวันจนกล้ามใหญ่ขึ้นนั่นแหละ
  • State 6 อ่า.. เริ่มเข้าใจมันบ้างแล้วล่ะ
    • หลังจากที่คุณไปฝึกฝนตัวเองมาดีแล้ว คุณจะเริ่มเข้าใจกลยุทธ์การเทรดและแนวคิดต่าง ๆ มาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข่าว การวิเคราะห์ตลาด การวเคราะห์กราฟ และอื่น ๆ
    • ถ้าเป็นนักเพาะกาย คุณก็พร้อมที่จะขึ้นเวทีประกวดแล้วล่ะ
  • State 7 ข้าทำได้แล้ว!!!
    • หากคุณอยู่ในขั้นที่ 6 ไปซักพักแล้ว คุณจะเริ่มเข้าสู่ขั้นที่ 7 ซึ่งก็คือ ผู้เชียวชาญ ครับ จุดนี้เองคุณจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จและมี Passive income หรือ ต่อยอดอะไรได้อีกหลาย ๆ อย่างเลยครับ

รูปที่ 1 ตัวอย่างกราฟ Performance versus Time ของเทรดเดอร์ตามทฤษฎี Learning Curve

เอาล่ะครับ ตอนนี้ลองถามตัวเองดูก่อนว่า เรากำลังอยู่ใน State ไหน ซึ่งหากใครที่ยังคิดว่าตัวเองยังอยู่ใน State ที่ 1-5 ผมยังไม่แน่นำให้เป็น Full Time Trader เนื่องจากมันมีความเสี่ยงมากที่คุณจะทิ้งงานประจำอันเป็นดั่ง Active income เพียงไม่กี่ช่องทางของคุณ แล้วเสี่ยงกับสิ่งที่คุณยังไม่สามารถทำกำไรจากมันได้อย่างมั่งคง

  • คำถาม แล้วเรามีวิธีไหนบ้างไหมที่จะทำให้เทรดเดอร์มือใหม่สามารถ State 1 ไปถึง 6 ได้อย่างมั่นคง
  • คำตอบ มีสิ แต่คุณต้องอดทน มีวินัย และไม่ล้มเลิก เอาล่ะ เราลองมาดู “คู่มือการเป็น Full Time Trader ฉบับสมบูรณ์” กันดีกว่า

“ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองมาประเมินตัวเองดูอีกทีครับว่า ตอนนี้!! เรากำลังอยู่ใน State ไหน”

ความรู้เกี่ยวกับตลาดและโบรกเกอร์ Forex

Forex ย่อมาจาก Foreign exchange หมายถึงตลาดที่ซื้อขายผ่านเคาน์เตอร์ทั่วโลก (OTC) การซื้อขายของเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเราจำเป็นที่จะต้องทำผ่านตัวกลางอย่าง Broker forex และส่งต่อไปยัง Liquidity provider (LP) มีปลายทางคือตลาด forex นั่นเองครับ นอกจากนี้ Broker forex แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่

  • No Dealing Desk (NDD)
    • NDD เป็นโบรกเกอร์ที่ส่งคำสั่งให้ตลาดจริง ๆ ซึ่งปัจจุบันนิยมเรียกว่า A-book
    • ส่งสัญญาณแบบ Market Execution
    • ข้อดีของ Market Execution คือ ส่งคำสั่งซื้อขายภายในเสี้ยววินาที
    • ข้อเสียของ Market Execution คือ มีโอกาสที่จะถูก Requote จาก LP ได้
  • Dealing Desk (DD)
    • DD เป็นโบรกเกอร์ที่ไม่ส่งคำสั่งให้ตลาด (รับแทงเอง) ปัจจุบันเรานิยมเรียกว่า B-book
    • ส่งสัญญาณแบบ Instant Execution
    • ข้อเของ Instant Execution คือ ส่งคำสั่งซื้อขายทันที ไม่ต้องรอการ Match ใด ๆ เพราะโบรกเกอร์รับแทงเอง
    • ข้อเสียของ Market Execution คือ มีโอกาสถูก Requote จากโบรกเกอร์ได้อยู่ดี
  • Hybrid
    • Hybrid เป็นโบรกเกอร์ลูกผสมระหว่าง A-book และ B-book ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนมากในยุคปัจจุบันมักจะเป็นแบบนี้ และลือกันว่า หาก Account ไหนเทรดดี เทรดกำไรเยอะ เขาจะส่งคำสั่งเข้าตลาด

รูปที่ 2 วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าเรากำลังใช้โบรกเกอร์ A-book หรือ B-book อยู่ การเข้าไปดูที่ Type ตามลูกศรสีแดง ซึ่งโบรกเกอร์ในรูป คือ โบรกเกอร์ Axi นั่นเองครับ แอบบอกเลยครับว่า โบรกเกอร์นี้น่าเชื่อถือ กราฟดี และส่งคำสั่งสัญญาณได้เร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลย (คลิ๊กที่นี่เพื่ออ่านรีวิวโบรกเกอร์ Axi)

หนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่เทรดเดอร์ควรจะต้องรู้ คือ ตลาด Forex มีความเสี่ยงมากกว่าตลาดหุ้น และตลาดคริปโต เนื่องจากหลาย ๆ โบรกเกอร์ในประเทศไทยเขาให้ Leverage ที่สูงมาก ๆ บางโบรกเกอร์ให้ 1 2000 ก็มี ในขณะที่ตลาดหุ้นเขาให้ Leverage มาเพียง 1 1 ถึง 1 20 เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการมี Leverage เยอะ ๆ จะเสี่ยงเสมอไป หากเทรดเดอร์สามารถบริหารเงินเป็น จัดพอร์ตอย่างมีวินัย มันก็สามารถทำให้รวยเร็วได้เช่นกัน เพราะถ้าคุณมีเงิน 1,000 บาท แล้วใช้ Leverage 1 1000 นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถเทรดสินทรัพย์มูลค่า 1,000,000 บาทได้เลย

แล้วจะคุณร่ำรวยจาก Forex แล้วก็อย่าลืมไปเสียภาษีด้วยล่ะ เพราะถึงแม้ Forex จะยังไม่มีกฎหมายใด ๆ มารองรับ แต่การมีรายได้จากการเทรดก็นับว่าเป็น “เงินได้” อยู่นะ เนื่องด้วยประมวลรัษฏากรได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนครับว่า “ผู้ใดที่มีรายได้ประเภทใดก็ตามจำเป็นต้องเสียภาษีทั้งสิ้น”

  • คำถาม T^T แล้วทีนี้จะต้องเสียภาษี forex อะไรยังไงล่ะเนี่ย?
  • คำตอบ เราอาจจะสามารถระบุเสียภาษีเงินได้ประเภทที่ 4 หรือ ประเภทที่ 8 อย่างใดอย่างหนึ่งจ้า ไปจ่ายกันด้วยนะ โดนย้อนหลังมา อ้วกพุ่งแน่นวล

สิ่งต่อไปที่เทรดเดอร์ควรจะรู้ก่อนเริ่มเทรดเลยก็ คือ Lot size, Margin, Pips or Points, Trading Planform, คำสั่งพื้นฐานต่าง ๆ เป็นต้น

  • Lot size
    • Lot คือ ปริมาณ หรือ ขนาดของการซื้อขาย จำนวนต่ำสุดของค่า Lot คือ 0.01 ส่วนค่า maximum lot จะแตกต่างไปในแต่ละโบรกเกรอร์
    • ปกติ Lot แบ่งได้หลายแบบขึ้นอยู่กับประเภทบัญชีเทรด แต่ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ คือ Standard, Mini, Micro, และ Nano แต่ละประเภทจะมี Number of units ที่แตกต่างกันตามความใหญ่-เล็ก
  • Margin
    • Margin คือ การวางเงินเพื่อค้ำประกัน เพราะเราใช้ Leverage จากโบรกซึ่งมันคือการยืมเงินโบรกมาใช้ก่อนนั่นแหละ
    • สมการที่ใช้คำนวณค่า Margin = ราคาสินค้า / Leverage * Lot
    • ถ้า Margin ของเราไม่เพียงจะไม่สามารถออก Lot ที่ใหญ่ ๆ ได้
    • หาก Margin หมด เรามีโอกาสที่จะถูก Stop out หรือ บังคับให้ปิด order ปัจจุบันอยู่ออกให้หมด
    • Margin Level คือ การคิดค่า margin จาก Equity ที่เรามี การนำไปเทียบกับ Margin ที่ต้องการใช้
  • Pips or Points
    • Pips เป็นหน่วยวัดเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงมูลค่าระหว่างสองสกุลเงิน
    • Pips ใช้นับตัวทศนิยมหลักสุดท้ายในกรณีที่มีทศนิยม 4 ตำแหน่ง เช่น 1.0023
    • Points เป็นหน่วยวัดที่เล็กกว่า Pips Points จะถูกใช้นับในกรณีที่มีทศนิยม 5 ตำแหน่ง เช่น 1.22091
    • ดังนั้นเราจึงนิยมแปลงจากหน่วย pips เป็น point การคูณ 10

รูปที่ 3 ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง Lot size ในตลาด Forex กับ Number of unit และ Pips Value ครับ

  • Trading Planform
    • ปัจจุบันเราสามารถเทรด forex ได้บน planform ที่หลากหลายมาก ๆ แต่ที่นิยมที่สุดในไทยคือ Metatrader อันเป็น planform สัญชาติรัสเซีย
    • ณ ปี 2024 เรามี Matatrader4 (mt4) และ Metatrader5 (mt5) ข้อดีข้อเสียก็มีแตกต่างกันออกไปครับ ภาษที่ใช้ coding คือ MQL
    • ที่โดดเด่นอีกหนึ่ง platform เลยก็คือ TradingView ครับ เพราะมันใช้ง่าย มี indicator ที่โคตรเยอะ แถมยังมี Artificial Intelligence (AI) ประเภท mechanical learning ให้เราใช้ฟรี ๆ ภาษที่ใช้ Coding คือ Pine script
  • คำสั่งพื้นฐานต่าง ๆ
    • จริง ๆ คำสั่งพื้นฐานมีเยอะพอสมควรครับ ซึ่งน่าจะบอกไม่หมดภายในบทความนี้ แต่เอาเป็นว่าผมจะบอก keywords ให้ไปค้นหาต่อนะครับ
    • Buy / Sell
    • Pending order ในรูปแบบต่าง ๆ
    • Stop Loss / Take Profit
    • Trailing Stop

ต่อมา.. สิ่งที่เทรดเดอร์ควรจะต้องรู้คือการวิเคราะห์สถานการณ์ในการเทรด ซึ่งเราสามารถแบ่งออกเป็น การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค และ การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน นั่นเอง ซึ่งเทรดเดอร์มืออาชีพควรจะทราบทั้งสองสิ่งนี้ก่อน แล้วจึงค่อยไปพัฒนาให้เฉพาะทางในภายหลัง

หากเปรียบเทียบก็อาจจะคล้าย ๆ กับแพทย์ครับ ที่เขาจะเรียนมาแบบรวม ๆ ก่อนมีช่วง 6 ปีแรก จากนั้นหากให้ความสนใจในด้านใดเป็นพิเศษจึงไปเรียน หรือ ศึกษาต่อ เฉพาะทางในภายหลัง เช่น จักษุแพทย์ และ กุมารแพทย์ เป็นต้น ตอนนี้เรามาดูกันต่อครับว่า ความรู้แต่ละอย่างที่ว่ามาจะมีประมาณไหน

การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค

การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค คือ การพยาการณ์ความเป็นไปได้ของตลาด Forex การอ้างอิงสถิติครับ ซึ่งการได้มาของสถิติดังกล่าวจะอยู่ในรูปแบบของสมการทางคณิตศาสตร์ จากนั้นจะแปรผลออกมาบน Chart ของเรา เรามักจะเห็นผลลัพธ์ของในรูปแบบของ Indicator นั่นเอง

ข้อสมมตฐานของการวิเคราะห์แบบนี้มักจะกล่าวว่า ตลาดความเป็นไปได้ที่จะไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะชี้วัดแนวโน้ม แต่รูปแบบของราคาและชุดข้อมูลของราคาในตลาดต่างหากที่สามารถทำมาวิเคราะห์ได้

รูปที่ 4 ก่อนเข้าสู่เนื้อหาของ Price Action, Chart pattern, และการวิเคราะห์แบบกราฟอื่น ๆ เราควรที่จะมาทำความรู้จักกับ Candle Stick หรือ แท่งเทียน ผ่าน Anatomy ของมันดูก่อนครับ

ความรู้ในการวิเคราะห์ประเภทนี้มีหลากหลายมาก ๆ หากจะกล่าวให้จบภายในบทความนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ดังนั้น ผมจะเขียนเอาไว้แต่หัวใจสำคัญเท่านั้น คุณสามารถทำ keywords เหล่านี้ไปค้นหาเพื่อศึกษาต่อในภายหลังได้ครับ

  • Price Action คือ ผลลัพธ์ของการสู้กันระหว่าง “แรงซื้อ” กับ “แรงขาย” ภายในระยะเวลาในแต่ละ Time Frame (TF) ซึ่ง Price Action มีหลากหลายรูปแบบมาก ๆ ยกตัวอย่างเช่น
    • แท่งเทียนแบบ Hammer ซึ่งมันมีลักษณะแบบค้อน ใช้ในกรณีที่กราฟกลับตัว และ ช่วงการพักตัวของกราฟ มันจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแรงของแนวโน้ม
    • แท่งเทียนแบบ Harami หรือ Inside Bar เป็นรูปแบบที่บ่งบอกว่า กราฟกำลังเลือกข้าง หรือ สิ้นสุดความเป็นแนวโน้ม มันมักจะต้องใช้กับเทคนิคอื่น ๆ ทางเทคนิคเพื่อวิเคราะห์ร่วมด้วยเสมอ
    • แท่งเทียนแบบ Engulfing เป็น price action ที่ใช้ดูรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้น ซึ่งเขาก็จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่ Bullish Engulfing และ Bearish Engulfing
  • Chart pattern analysis คือ หนึ่งในเทคนิคที่สำคัญ มันถูกสร้างมาจากทฤษฎีที่มีการเก็บสถิติมาอย่างเพียงพอ มีความสมเหตุสมผลในระดับหนึ่ง ซึ่ง Chart pattern มีหลายแบบ หลายทฤษฎี เช่น
    • Dow theory เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อนุมานเอาไว้ว่า การเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นไปตาม “วงจรเศรษฐกิจ”
    • Elliott wave เป็นทฤษฎีการเทรดหุ้นที่มีแนวคิดทำนองว่า “การแกว่งขึ้นและลงของราคาที่เกิดจากจิตวิทยา รวมมักจะปรากฏในรูปแบบซ้ำ ๆ กันเสมอ” และมันถูกประยุกต์มาใช้ในการเทรด Forex ในที่สุด
    • Wyckoff logic เป็นทฤษฎีการเทรดที่ซับซ้อน เขามุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์วงจรการเกิดแนวโน้มของตลาด เพื่อปรับตัวให้สู้การเทรดเดอร์รายใหญ่
  • Indicators คือ เครื่องมือที่บอกให้เรารู้ถึง “พฤติกรรมราคา” ซึ่งรากฐานของมันก็มาจากการคำนวณทางศาสตร์ ใช้ข้อมูลราคาและข้อมูลอื่น ๆ ในตลาดย้อนหลังครับ indicators มีมากมายหลายสิบตัวเลย เช่น
    • Moving Average (MA)
      • MA คือ เส้นค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ของราคา หรือ สินทรัพย์นั้น ๆ
      • กลไกการทำงานขาอง MA คือ การคำนวณหาค่าเฉลี่ยนราคาตามสมการที่สามารถคิดได้หลายแบบ เช่น Simple method, Exponential method, Weighted method เป็นต้น จากนั้นนำค่าค่าเฉลี่ยนแต่ละค่ามา Plot บน Chart ทำให้เกิดเส้น MA ขึ้นมา
      • ข้อดีของ MA คือ ใช้ง่าย อ่านง่าย ใช้งานได้หลากหลาย
      • ข้อเสียของ MA คือ ข้อมูลที่ได้มาอาจจะเก่าไปหน่อย แต่ถ้าเทรดบน TF ใหญ่ จะช่วยลดทอนจ้อเสียตรงนี้ได้
    • Relative Strength Index (RSI)
      • RSI คือ indicator ที่แสดงผลถึงแรงซื้อ และ แรงขาย ในตลาด Forex
      • กลไกการทำงานของ RSI คือ การคำนวณหาแรงซื้อ และ แรงขาย ซึ่งปกติแล้วเราจะใช้ดูช่วงที่มันซื้อขายมากเกินไป (overbought / oversold)
      • ข้อดีของ RSI คือ ใช้ง่าย มีวิธีการใช้ที่หลากหลาย การคำนวณไม่ซับซ้อน
      • ข้อเสียของ RSI คือ มันยังคงเป็น Lagging indicator อยู่
    • Average True Range (ATR)
      • ATR คือ indicator ที่ช่วยวัดความผันผวดของตลาด (Volatility) ณ ช่วงเวลาที่เรากำหนด
      • กลไกการทำงานของ ATR คือ การนำราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด ราคาปิด ของแท่งเทียนมา คำนวณเป็นค่า Ture Range (TR) จากนั้นก็เอามาคำนวณเป็น ATR อีกรอบ
      • ข้อดีของ ATR คือ มันประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย และค่าที่ได้มามักจะเสถียร
      • ข้อเสียของ ATR คือ มันไม่ได้เป็น indicator ประเภทที่ให้สัญญาณการเข้าซื้อขาย ดังนั้นควรใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นนะจ๊ะ

รูปที่ 5 สรุปภาพรวมของการเทรดแบบอิงการวิเคราะห์กราฟเชิงเทคนิค หรือ Technical Analysis ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามันโคตรจะหลากหลาย ทั้งกว้าง และลึกครับ (ใครพึ่งเข้ามาอ่านก็อย่าไปท้อนะครับ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา)

จริง ๆ แล้วการวิเคราะห์เชิงเทคนิคมีอีกหลากหลายมาก ๆ ครับ เฉพาะของใหม่ ๆ อย่าง AI จำพวก mechanical learning ครับ การเรียนรู้ในตลาด Forex ควรที่จะค่อยเป็นค่อยไป สร้างพื้นฐานให้แข็งแรง ค่อย ๆ เติบโตอย่างมั่นคงเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ครับ อย่าใจร้อนหวังความร่ำรวยในชั่วข้ามคืนเลย เพราะถ้าคุณไม่คู่ควรเดี่ยวมันก็จะจากคุณไป D

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

เรามาดูในส่วนของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือ Fundamental analysis กันดีกว่าครับ Fundamental Analysis คือ เทคนิคที่พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถกระทบต่อระบบเศรษฐกิจได้ เช่น ข่าวสำคัญ ๆ ทางเศรษฐกิจ, เหตุการณ์สำคัญที่สามารถกระทบต่อคนวงกว้างได้, เหตุการณ์ทางการเมือง, ข่าวสงคราม หรือ โรคระบาด เป็นต้น หากจะพูดกันง่าย ๆ ก็คือ วิเคราะห์กราฟจากข่าวนั่นแหละครับ ยกตัวอย่างเช่น

  • ถ้า FED ประกาศขึ้นดอกเบี้ย ก็จะส่งผลให้ราคาทองคำ (XAU/USD) ลดลง เนื่องจากค่าเงินของ USD มีความแข็งตัวขึ้น
  • ถ้า FED ประกาศลงดอกเบี้ย อาจจะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น เนื่องจากค่าเงินของ USD มีความอ่อนตัวลง

และถ้าหากคุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบเทรดคริปโต หรือ สินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด Forex แล้วล่ะก็ มันจะมีอีก 3 มุมมองสำคัญที่ไม่ควรพลาดเลย ได้แก่

  • ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
    • ข่าวที่ทางบริษัท หรือ ผู้นำองค์กร ประกาศ ชี้แจ้ง หรือ ประชาสัมพันธ์ถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในบริษัท ไม่ว่าจะเป็น นโยบาย แผนการการดำเนินกิจการ เป็นต้น
    • หากเทรดคู่เงิน เราก็อาจจะต้องตามข่าวเศรษฐกิจของประเทศนั่น ๆ ที่เรากำลังเทรด เช่น หากเทรด USD/JPY เราก็ต้องดูว่ารัฐบาลอเมริการกำลังทำอะไรอยู่ รัฐบาลญี่ปุ่นวางแผนงานอะไรยัง แนวโน้มของเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน เป็นต้นจ้า
  • ข้อมูลในอดีต
    • ข้อมูลนี้จะเป็นในส่วนภาพรวมในอดีตของบริษัท หรือ รัฐบาล นั่น ๆ ครับว่าที่ผ่านมาเขาดำเนินการอะไรยังไง งบดุลเป็นยังไงบ้าง แล้วส่งผลต่อเศรษฐกิจในระดับจุลภาคและมหาภาคได้ยังไงบ้าง
  • ข้อมูลภายใน
    • ข้อมูลตัวนี้อาจจะหาได้ยากหน่อยครับ เพราะมันต้องวงในจริง ๆ แต่ส่วนมากก็จะได้มาจากกลุ่มคนที่เขาวิเคราะห์กันนั่นแหละ
    • ยกตัวอย่างเช่น มีคนมาบอกว่าเดี๋ยวปีหน้าลุงตู่จะกลับมาเป็นนายกนะ!! ทีนี้ถ้าเราเชื่อ เราก็จะต้องมานั่งวิเคราะห์กันแล้วครับว่า ถ้าลุงได้เป็นนายากจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงไหม เศรษฐกิจจะแย่ลงไหม ถ้าเงินบาทอ่อนตัวลงจริง เราควรซื้อเงิน USD หรือ ซื้อทองคำ เก็บเอาไว้เกรงราคาไหม หรือจะไปซื้อหุ้น CP ดี? เป็นต้นจ้า

รูปที่ 6 ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากข่าวน้องลิซ่า Blackpink ที่มีผลกระทบอย่างมากในราคาของหุ้น YG Entertainment INC. ราว ๆ วันที่ 11 พ.ค. 2566 – “ลิซ่า BLACKPINK” ขึ้นแท่นศิลปิน K-POP ครองสถิติ Guinness World Record มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นของ YG Entertainment INC. พุ่งสูงขึ้นจาก 70,000 ไป 95,000 ภายในไม่กี่วัน !!!

กลับเข้ามาสู้ตลาด Forex กันครับ ทีนี้เรามาดูครับว่า ปกติแล้วถ้าเราจะเทรดแบบวิเคราะห์พื้นฐานปัจจัย เราควรจะดูข่าวเศรษฐกิจได้จากที่ไหนได้บ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วเราสามารถดูข่าวได้จากไม่กี่ website ครับ เช่น forexfactory.com, mql5.com, investing.com เป็นต้น แต่ที่นิยมกันจริง ๆ คือ forexfactory.com จ่ะ

เรามาดูหลักการในการดูข่าวของ forexfacotory.com กันดีกว่าครับ.. ข่าวแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน และมีความรุนแรง หรือ ผลกระทบต่อวงกว้างที่ต่างกัน ซึ่งความแรงนี้เองเขาจะถูกแยกด้วยสีครับ

ตารางที่ 1 แสดงสีของข่าวที่สะท้อนถึงความรุนแรง หลัก ๆ จะมีอยู่ 4 สี

สีของข่าว ระดับความรุนแรง
สีเทา วันหยุด หรือ วันปิดทำการ ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับสกุลเงินที่จับคู่ด้วย
สีเหลือง มีผลกระทบต่อค่าเงินน้อย
สีส้ม มีผลกระทบต่อค่าเงินแต่ไม่รุนแรง
สีแดง มีผลกระทบต่อค่าเงินมากที่สุด

ในความเป็นจริงแล้ว ข่าวเศรษฐกิจมีเยอะมาก ๆ แต่ข่าวที่เราจะ focus จริง ๆ จะต้องเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับค่าเงิน USD เพราะมันมักจะกระทบกับผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่ลงท้ายด้วย USD (ใครที่เทรด major currency pair อยู่ก็ไม่ควรพลาดเลย) แล้วข่าวที่ว่ามันมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!!

  • Unemployment Claims
    • อันนี้แปลตรงตัวครับ มันคือ อัตราการว่างงาน
    • อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น -> มักส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาด -> คนออกไปซื้อข้าของน้อยลง การลงทุนก็น้อยลง -> ทำให้ค่าเงินอาจจะอ่อนตัว
    • อัตราการว่างงานลดลง -> แสดงว่าเศรษฐกิจแม่งโตขึ้น -> คนก็มีกำลังซื้อมากขึ้น -> การลงทุนก็เยอะขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งตัวขึ้นครับ
  • Gross Domestic Product (GDP)
    • GDP เพิ่มขึ้น -> เศรษฐกิจขยายตัว -> ค่าเงินสูงขึ้น -> การลงทุนเพิ่มขึ้น
    • GDP ลดลง -> เศรษฐกิจชะลอตัว -> ค่าเงินลดลง -> การลงทุนลดลง
  • Consumer Price Index (CPI)
    • CPI สูงขึ้น -> เงินเฟ้อมากขึ้น -> เศรษฐกิจแข็งแกร่ง -> ค่าเงินสูงขึ้น
    • CPI ลดลง -> เงินเฟ้อน้อยลง -> เศรษฐกิจฝืด -> ค่าเงินลดลง
  • Interest Rate (FED rate)
    • FED ปรับเพิ่ม อัตราดอกเบี้ย -> กำลังเรียกนักลงทุนให้มาลงทุน -> ค่าเงินเพิ่มขึ้น
    • FED ปรับลด อัตราดอกเบี้ย -> ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ -> ค่าเงินลดลง
  • Non-Farm Payrolls (NFP)
    • ตัวนี้คือ ข่าวการจ้างงานนอกภาคการเกษตรครับ
    • ตัวเลข NFP เพิ่ม -> จ้างงานมากขึ้น + กิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น -> ค่าเงินเพิ่มขึ้น
    • ตัวเลข NFP ลดลง -> จ้างงานน้อยลง + เศรษฐกิจชะลอตัว -> ค่าเงินลดลง
    • ข่าวนี้ออกทุกวันศุกร์แรกของทุกเดือน เวลาประมาณ 20.00-20.30 น. ประเทศไทย -> กราฟวิ่งแรงเพราะคนเทรดกันเยอะ

รูปที่ 7 ตัวอย่างตารางข่าวบน forexfactory.com ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่โคตรจะเดือดเลย !!

การเป็น Full time Trader นั้นนอกจากจะต้องมีความรู้เรื่องตลาด forex และเทคนิคการเทรดแล้ว พวกเขายังจำเป็นต้องมีทักษะด้านอื่น ๆ ด้วย เราไปดูกันครับว่า ทักษะไหนจำเป็นต้องมีบ้าง !!

ทักษะที่จำเป็น

ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเหนื่อย ก็ไปพักผ่อน ดื่มน้ำดื่มท่า ยืดเส้นยืดสาย กันก่อนนะครับ สุขภาพแข็งแรงเอาไว้ก่อน “ขุนเขายังอยู่ ใยต้องกลัวไรฟืน”

ทักษะการบริการเงิน

ใครที่เคยเป็นพ่อค้าแม่ขายอยู่ อาจจะเข้าใจบริบทนี้ดีนะครับ เพราะไม่ว่าคุณจะขายของเก่งขนาดไหน แต่ถ้าคุณบริหารเงินไม่เก่ง ความมั่งคงอาจจะอยู่ห่างไกล

ในยุคก่อนคนจีนค้าขายเก่งมาก ขยันอดทน เก็บออม จนมั่งคงร่ำรวย แต่หากคุณไปทำแบบนั้นในยุคนี้ ปี 2024 แล้วล่ะก็มีหวังไม่รอดแน่ ๆ เพราะอัตราเงินเฟ้อมันโคตรจะสูง อีกทั้งดอกเบี้ยนู้นนี้ก็มากมาย การแข่งขันไม่ต้องพูดถึงมันเยอะกว่าเดิมมาก !!!

แต่รู้ไหมครับว่า “ทักษะการบริหารเงิน” นี้แหละจะช่วยให้เรารอด หัวข้อนี้เราจะมา Focus ในมุมมองของการเทรด Forex ซึ่งจะสามารถแบ่งได้ประมาณ 4 หัวข้อหลัก ๆ ได้แก่

  • กำหนด Max DD
    • Maximum Drawdown (Max DD) คือ เปอร์เซ็นต์การขาดทุนสูงสุดของต้นทุนรวมเป็นระยะเวลาตามที่เรากำหนด เช่น 3 ปี 5 ปีก็ว่าไป
    • กำหนด Max DD = 20% สำหรับพอร์ตปลอดภัยที่เน้นการลงทุนระยะยาว
    • อนุญาตให้ Max DD มากกว่า หรือ เท่ากับ 60% สำหรับพอร์ตที่ใช้ปั่นกระแสเงินสด เน้นลงทุนระยะกลาง
    • อนุญาตให้ Max DD มากกว่า 80% ได้ สำหรับพอร์ตที่เน้นทำการ Betting เพราะพอร์ตนี้จะใช้เงินทุนที่ต่ำและต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น ซึ่งถ้าเสียแล้วก็ไม่เสียใจ เหมือนเราทำเหรียญ 10 บาทตกลงทิ้งน้ำทิ้ง

รูปที่ 8 ตัวอย่างโครงสร้างการจัดพอร์ต ที่เน้นไปในเรื่องของการทำฟาร์ม หรือ โรงงานผลิตเงิน

  • Lot Management
    • การกำหนด Lot ในการเทรดมีหลากหลายจริง ๆ ครับ ซึ่งในบทความนี้ได้ไม่หมดแน่ ๆ ดังนั้นผมจะพูดคร่าว ๆ แล้วเรามาต่อกันในบทความหน้าเนอะ
    • การกำหนด Lot แบบ %Risk ที่ขึ้นอยู่กับ Stop loss วิธีนี้สามารถคำนวณได้จากสมการนี้ครับ -> Lot Size = (Account Balance x Risk Percentage) / (Stop-Loss in Pips x Value per Pip)
    • การกำหนด Lot ตาม %Equity และตาม %Balance คือ หากมี Balance = $1,000 แล้วกำหนดให้ %Balance = 100 เราจะได้ค่า Lot 0.01 ซึ่งสมการมีดังนี้ Lot = Balance / (%Balance * 10,000)
    • การกำหนด Lot แบบ Ryan Jones คือการกำหนดตามตารางการออก Lot ของ Ryan Jones ที่เข้าคำนวณมาให้แล้วว้า Balance เราเท่านี้ ควรจะออก Lot เท่าไหร่
    • การกำหนด Lot แบบ Betting Martingale / Paroli คือ การออก Lot ตามทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ (Law of larger number; LLN) ครับ (ศาสตร์ลึกซึ้งมากนะบอกเลย)
    • การกำหนด Lot แบบ Betting Labouchere คือ การบริหารเงินแบบเดียวกับกลยุทธ์ในการแข่ง Roulette มันมีอีกชื่อวา Split martingale คร่าว ๆ คือเขาจะมีลำดับในการวางเดิมพันเอาไว้ (รายละเอียดเยอะพอสมควร)
    • การกำหนด Lot แบบ Betting Custom sequence คือ ระบบ money management ที่สามารถกำหนดระบบจัดการเงินบนหน้าตักได้แบบหลากหลาย เช่น Base Volume, Sequence on loss, Sequence of profit, และอื่น ๆ เป็นต้น
    • การกำหนด Lot แบบ Flip Coin Betting คือ การกำหนด Lot แบบความน่าจะเป็นเหมือนกับการโยนเหรียญแล้วออกหัว-ก้อยนั่นแหละครับ
  • วิเคราะห์จุดเข้า-ออก
    • การวิเคราะห์จุดเข้า เราสามารถใช้หลักการ 2 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นคือ การวิเคราะห์กราฟเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์พื้นฐานปัจจัย
    • จุดเข้าที่จำเป็นที่จะต้องเก็บสถิติการเทรด การทำ Backtesting มาอย่างเพียงพอ
    • การวิเคราะห์จุดออกคือการตั้ง Stop Loss และ Take Profit การเน้นให้เราจะอยู่รอดเราควรให้ความสำคัญไปที่ Stop Loss มากกว่า
    • การกำหนด Stop Loss มีหลายแบบ เช่น การกำหนดแบบ Fix pips, การกำหนดด้วย Indicator, การกำหนดด้วย Time, การกำหนดด้วย Volatility หรือการกำหนดด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นต้น
    • การกำหนด Stop Loss ที่ง่ายที่สุดคือการกำหนดแบบ Fix pips ปกติแล้วเราจะต้องตั้ง Risk Reward Ratio กัน ซึ่งจะมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงคือ %Winrate
    • วิธีคำนวณ Stop Loss ตาม %Risk สำหรับ Long position -> Stop Loss Price = Entry Price – (Entry Price * (Risk Percentage / 100))
    • วิธีคำนวณ Stop Loss ตาม %Risk สำหรับ Short position -> Stop Loss Price = Entry Price + (Entry Price * (Risk Percentage / 100))
  • บันทึกผลการเทรด
    • การบันทึกสถิติการเทรดของเราเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าระบบเทรดของเราดีไหม ควรปรับปรุงอะไรตรงไหนบ้าง
    • วิธีการบันทึกการเทรดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การบันทึกเอง จดลงกระดาษ หรือ Excel software เป็นต้น
    • ทางเลือกที่ดีกว่าการบันทึกเองคือการเทรดแล้วดึงข้อมูล History Trading จาก Metatrader ครับ ซึ่งมันทำได้ทั้งบน mt4 และ mt5
    • วิธีการทำคือ เปิด metatrader -> focus ไปที่ Toolbox -> คลิ๊กไปที่ History -> คลิ๊กขวาไปที่ column ใดก็ได้ -> คลิ๊กไปที่ Report -> เลือก HMTL

รูปที่ 9 ตัวอย่างการดึง History trading จาก mt5 แบบง่าย ๆ ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วมาก ประหยัดเวลาไปนั่งจัดเองได้เยอะ (ระบบเทรดในรูปนี้น่าจะมีปัญหาในการบริหารเงินนะเนี่ย!!)

    • อีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ คือ การบันทึกลงบน myfxbook ครับ ซึ่งมันง่ายและสะดวกสบายมาก ๆ เพราะเราไม่ต้องค่อยดึง History จาก Metatrader บ่อย ๆ ระบบเขาจะทำการ Update ให้แบบอัตโนมัติ แถมยังเอามาอวดชาวบ้านได้ด้วยนะ
    • อย่างไรก็ตาม คุณควรที่จะเรียนรู้ว่า Parameters ต่าง ๆ ที่เขาโชว์เนี่ย มันมีความหมายยังไง แล้วจะแปรผลยังไง ซึ่งเดี๋ยวเราไปคุยกันต่อในบทความที่เกี่ยวกับ myfxbook เฉพาะครับ

รูปที่ 10 ผลสถิติการเทรดด้วย Euro Capital EA ที่ลงบันทึกเอาไว้ใน myfxbook ซึ่งราจะได้เลยครับว่าจุดด้อยของมันคืออะไร และเหมาะกับการเป็นพอร์ตแบบไหน ควรวางเงินเอาไว้เท่าไหร่ โอกาสรอดในตลาดมีมากน้อยแค่ไหน

ทักษะการจัดการอารมณ์

ทักษะตรงนี้โคตรจำเป็นครับ เพราะถ้าใครเทรดมือจะรู้เลยว่า มันมีผลต่อการเทรดมาก ๆ ซึ่งหลักการที่จะทำให้เราสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อาจจะมีหลายวิธี แต่วิธีที่ดีมาก ๆ สำหรับผม คือ การดึงศักยภาพของสมองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

วิธีดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความอดทน ระเบียบวินัย และความมุ่งมั่น จึงจะสามารถทำให้สมองเข้าสู้คลื่น Alpha ได้ ซึ่ง Alpha wave นี้เองเป็นคลื่นความถี่ของสมองที่เรียกได้ว่าเป็น “คลื่อนแห่งการสร้างสรรค์” ความถี่จะอยู่ที่ระดับ 8-13 Hz

ด้วยเหตุนี้เองกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงคลื่น Alpha ได้จะเป็นคนที่รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีสมาธิดี ทำอะไรก็ไหลลื่นไปหมด เราจะเห็นบ่อย ๆ ในกลุ่มคนที่ชอบฝึกสมาธิ หรือ นักบวชที่เน้นการปฏิบัติธรรม

ในความเป็นจริงแล้ว เทรดเดอร์อย่างเรา ๆ ก็สามารถทำแบบนั้นได้ ซึ่งวิธีที่จะพาตัวเองเข้าสู่ Alpha mode ได้มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่

  • Alpha Qualify
  • Alpha Process
  • Alpha Damage

แต่วิธีที่ผมแนะนำคือ Alpha Process เนื่องจากมันไม่มีความอันตรายใด ๆ เมื่อเทียบกับอีก 2 วิธี แถมยังเป็นการถนอมสภาพร่างกายได้ดีอีกด้วย ซึ่งวิธีก็ไม่ยากเพียงแค่ปรับวิถีชีวิตประจำวันบางอย่างเท่านั้นเอง ถ้าท่านใดสนใจเอาไว้ผมจะมาบอกวิธีเข้าสู่ Alpha mode ในบทความหน้าครับ D

รูปที่ 11 การฟังคลื่อนเสียงที่มีความถี่ช่วง 10 Hz สามารถช่วยลดความแปรปรวนของสมองได้ และยังสามารถลดพลังงาเชิงลบพร้อมกับเพิ่มความสามารถการทำงานของสมองได้ดีขึ้นอีกด้วย

สรุป

Learning Curve มีทั้งหมด 7 States ซึ่งหากคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองประเมินตัวเองดูอีกทีครับว่า ตอนนี้คุณกำลังอยู่ใน State ไหน เนื้อหาที่ได้อ่านมานี้คุณเข้าใจมันทั้งหมดแล้วหรือไม่ ซึ่งหากคุณประเมินตัวเองแล้วยังไม่ได้อยู่ใน State ที่ 6-7 ผมเองก็ยังไม่แนะนำให้ออกมาเป็น Full Time Trader ครับ

อ้างอิง